ให้บริการเกี่ยวกับรถโฟล์คลิฟท์ไฟฟ้า น้ำมัน และแก๊ส ในด้านการขาย เช่า ซ่อม อะไหล่ และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร โดยทางบริษัทขอแจ้งรายละเอียดในเรื่องสินค้าและบริการดังนี้ -บริการซ่อมบำรุงรถโฟล์คลิฟท์(forklift repair)ทั้งระบบไฟฟ้า น้ำมัน แก๊ส -บริการตรวจเช็คและบำรุงรักษารถโฟล์คลิฟท์(P.M.forklift)รายเดือนและรายปีฯลฯ Email:pcnforklift@hotmail.com, Tel: 0865182510, ID:LINE PCNFORKLIFT06 หรือ @pcnforklift และทาง www.pcnforklift.com
วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557
จำหน่าย หม้อต้มแก๊สรถโฟล์คลิฟท์ ทุกยี่ห้อ
หลักการทำงานของหม้อต้มแก๊ส
หม้อต้มแก๊สหรือ Reducer ทำหน้าที่เปลี่ยนสถานะของแก๊สซึ่งปกติแล้วเวลามันอยู่
ในถังแก๊สจะเป็นของเหลว (เหมือนที่เห็นในไฟแช็คอ่ะ เป็นอย่างนั้น)ให้กลายเป็นไอ
(แก๊สจะกลายเป็นไอได้ต้องลดแรงดันลง) โดยแก๊สจากถังจะต้องผ่านหม้อต้มแก๊ส
เพื่อเปลี่ยนสถานะให้เป็นไอและส่งต่อเข้าไปยังเครื่องยนต์ ที่นี้การเปลี่ยนสถานะของ
แก๊สให้กลายเป็นไอก็ต้องใช้พลังงานมาช่วยก็คือพลังงานความร้อนจากระบบระบาย
ความร้อนของรถยนต์คือน้ำจากหม้อน้ำนั่นเองจะช่วยให้แก๊สเปลียนสถานะได้เร็วขึ้น
หม้อต้มแก๊ส LPG ก็จะมีอยู่ 2 ระบบ
1. หม้อต้มแก๊สระบบดูด หม้อต้มระบบนี้จะไม่มีแรงดันให้แก๊สออกครับ จะต้องอาศัยแรง
ดูดจากเครื่องยนต์เท่านั้นถึงจะมีแก๊สออกไป
2. หม้อต้มแก๊สระบบแก๊สหัวฉีด หม้อต้มแบบนี้จะมีแรงดันประมาณสัก 2 บาร์ได้
เพื่อส่งแก๊สไปที่หัวฉีดและจ่ายแก๊สออกไปเมื่อหัวฉีดเปิดครับ
มาว่ากันถึงเสป็ค หม้อต้มแก๊ส
ปกติแล้วหม้อต้มแก๊ส จะมีเสป็คบอกไว้ว่ารองรับเครื่องได้กี่แรงม้าไม่ใช่ว่าใส่แล้ว
จะมีแรงม้าตามที่ระบุเหมือนที่หลายคนเข้าใจ ซึ่งนั่นหมายถึงเข้าใจผิดครับ เช่น
เครื่องยนต์มีแรงม้า 100 แรงม้า ถ้าติดหม้อต้ม 200 แรงม้า เครื่องก็มี 100 แรงม้าเท่า
เดิม (ก็ม้าที่มีมาจากโรงงานมันแค่ 100 ตัวนี่)
แต่ถ้าหากเครื่องยนต์ 100 แรงม้า ติดหม้อต้มที่มีกำลังจ่ายแค่ 80 แรงม้า อย่างนี้มี
ปัญหาครับเวลาใช้แก๊สจะเร่งไม่ค่อยออกครับเพราะแก๊สไม่พอเลี้ยงม้า 100 ตัวของ
เครื่องยนต์ครับ อย่างน้อยเครื่องยนต์มี 100 แรงม้า หม้อต้มแก๊สก็ควรจะรองรับ
ได้สัก 100 แรงม้าหรือให้ดีเผื่อสักนิดเป็น 120 แรงม้าไรทำนองนี้ก็ได้ครับ จะได้ไม่มี
ปัญหาแก๊สจ่ายไม่พอเวลาเร่งรอบสูงๆหรือต้องการกำลังฉุดลากมากๆ ครับ
ปกติทั่วไปมันไม่เป็นไรก็ไม่มีใครจะไปรื้อมันหรอกครับ
งั้นหาเหตุที่จะรื้อดีกว่า
1. กินแก๊สมากผิดปรกติ
2. จูนไม่จบสักทีเปลี่ยนหัวฉีดแล้วด้วย
3. สตาร์ทยากเปลี่ยนหรือเช็คหัวฉีดแล้วด้วยเหมือนกัน
4. เร่งไม่ขึ้น อืดผิดปรกติ
5. น้ำในหม้อน้ำหายหรือมีคราบน้ำที่หม้อต้ม
เมื่อนับได้ 5 ข้อแล้ว ก็มารื้อเปลี่ยนชุดซ่อมกันดีกว่าครับ 555
จะอธิบายจุดต่างๆไปด้วยครับ แบบง่ายๆก็แล้วกัน
วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557
จำหน่ายเสื้อยืด T-SHIRT รับสกรีน เสื้อยืด เสื้อโปโล เสื้อโรงงาน เสื้อในโอกาสพิเศษต่างๆ ฯลฯ: กระเป๋า Tote bag
จำหน่ายเสื้อยืด T-SHIRT รับสกรีน เสื้อยืด เสื้อโปโล เสื้อโรงงาน เสื้อในโอกาสพิเศษต่างๆ ฯลฯ: กระเป๋า Tote bag: Facebook : https://www.facebook.com/totebagthai Tote bag กำเนิดเกิดมาตั้งแต่ในยุคประมาณศตวรรษที่ 17 ยุคนั้นทาสและชนชั้นแรงงา...
วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ระบบหล่อลื่นของเครื่องยนต์
เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน(ติดเครื่อง)ชิ้นส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์เกิดการเคลื่อนไหวขึ้น เช่น ลูกสูบ แหวนลูกสูบ ข้อเหวี่ยง ฟันเฟือง และระบบลิ้น หรือชิ้นส่วนต่างๆ ที่เคลื่อนไหวในการเคลื่อนไหวของชิ้นส่วนเหล่านั้น จะทำให้เกิดการสึกหรอขึ้นด้วยการเสียดสี
ดังนั้นในระบบนี้จึงใช้น้ำมันที่มีความเหนียวเข้าไปหล่อเป็นน้ำมันหล่อลื่น โดยการใส่เข้าไปไว้ในห้องข้อเหวี่ยงซึ่งอยู่ตอนล่างของเครื่องยนต์ ที่เรียกว่าอ่างเครื่องน้ำมันเครื่องจะขึ้นมาหล่อลื่นได้ดังนี้คือ
1. โดยการตักของข้อเหวี่ยง เนื่องจากข้อเหวี่ยงข้างหนึ่ง มีลักษณะคล้ายช้อนยื่นออกไป และตักน้ำมันขึ้นมาในขณะที่เคลื่อนที่หมุน และจากแรงเหวี่ยง จะสลัดน้ำมันเครื่องขึ้นไปหล่อลื่นส่วนต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว และไหลกลับลงสู่อ่างเครื่อง
2. โดยการใช้ปั๊มพ์สูบน้ำมันเครื่อง ส่งไปหล่อลื่นส่วนต่างๆ วิธีนี้มักใช้กับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ เพราะว่าจำเป็นต้องส่งน้ำมันเครื่องขึ้นไปหล่อลื่นเป็นจำนวนมากและระยะไกลๆ และไหลกลับลงสู่อ่างเครื่อง
ประโยชน์ของการหล่อลื่น
1. เพื่อทำให้เกิดการสึกหรอน้อยลง เนื่องจากน้ำมันเครื่องทำให้ลื่น จึงมีการเสียดสีน้อย
2. เพื่อช่วยระบบความร้อน ในตอนที่ขึ้นไปหล่อลื่นนั้นจะมีความร้อนติดน้ำมันลงสู่อ่างเครื่องยนต์ด้วย แต่เครื่องยนต์ขนาดใหม่ๆ บางอย่างจะจัดให้น้ำมันเครื่องไหลไประบายความร้อนเช่นเดียวกับน้ำ โดยการจัดรังผึ้งให้อยู่คู่กัน
หลักของการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
สำหรับเครื่องยนต์ที่เริ่มใช้ใหม่ๆ ให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อ 80 ชั่วโมงทำงาน หรือ ขั้นต่อไป 160 ชั่วโมงทำงาน และต่อไปให้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อ
1. น้ำมันเครื่องเสีย ซึ่งอาจเกิดจากน้ำเข้าผสมหรืออื่นๆ
2. เมื่อครบจำนวนเวลาทำงาน เช่น 250-300 ชั่วโมงหรือทุกๆ 1 เดือน
วิธีเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
1. ให้เปิดจุกก้นอ่างน้ำมันเครื่องให้น้ำมันเครื่องไหลออกให้หมด ในขณะที่น้ำมันเครื่องกำลังมีความร้อนอยู่หรือภายหลังจากดับเครื่องยนต์ใหม่ๆ ถ้าเครื่องยนต์เย็นควรติดเครื่องยนต์ให้ร้อนเสียก่อน
2. ทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเสียด้วย แล้วเติมน้ำมันเครื่องใหม่ให้เต็มหม้อกรอง
3. เติมน้ำมันเครื่องใหม่ตามนัมเบอร์ที่เคยใช้มาแล้ว ให้ได้ระดับขีดที่มีเครื่องหมายบอกเอาไว้
4. ควรจะติดเครื่องยนต์ให้เบาๆ ไว้สักประมาณ 5 นาที แล้วจึงดับเครื่องและทิ้งไว้ประมาณ 1-2 นาที จึงวัดใหม่ดูแล้วเติมให้ได้ระดับขีด ที่กำหนดไว้อีกครั้งหนึ่ง (ถ้าน้ำมันไม่ถึงขีด)
อันตรายจากน้ำมันเครื่อง รั่ว เสื่อม หรือมีน้อย
1. แบริ่งก้านสูบ และแบริ่งใหญ่ข้อเหวี่ยงละลาย
2. เครื่องยนต์แตก เนื่องจากก้านลูกสูบหักและขัดตัวกับข้อเหวี่ยง
เมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานอยู่ และน้ำมันเครื่องหมดหรือมีน้ำมันเครื่องน้อย เมื่อรถตะแคงเครื่องยนต์ก็จะเสียทันที ภายในเวลา 5 นาที หรือ 10 นาทีเท่านั้น
การเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่น
น้ำมันเครื่องยนต์
|
ระบบเกียร์
|
อุณหภูมิกว่า 40°F
|
สูงกว่า 40°F
|
ใช้เกรด 36-40 | ใช้น้ำมันเครื่องเกรด 50-60 หรือใช้น้ำมันเกียร์เกรด 90-140 |
เครื่องยนต์กินน้ำมันเครื่องมาก สาเหตุ
1. น้ำมันเครื่องรั่วตามส่วนต่างๆ ของเครื่องยนต์ จะสังเกตได้จากมีน้ำมันสีดำๆ เปียกชื้น ควรรีบแก้ไข
2. ลูกสูบหลวม เนื่องจากการสึกหรอระหว่างลูกสูบกับแหวนลูกสูบ มีช่องหลวมเกินไป
3. แหวนลูกสูบ
-ใส่แหวนลูกสูบผิดหน้า
-ปากแหวนตรงกันทั้งหมด
-แหวนลูกสูบหัก
-ปากแหวนห่างเกินไป ควรห่างประมาณ .002 นิ้ว
-ปลอกนำลิ้นหลวมควรเปลี่ยนใหม่
-ใส่น้ำมันเครื่องเกินระดับที่กำหนดไว้
สำหรับการใส่แหวนลูกสูบนั้น ควรจัดระยะมุมของปากแหวนให้อยู่เท่าๆ กัน และก่อนใส่ควรตรวจดูเสียก่อน ว่าหน้าไหนใหญ่หรือมีตัวหนังสือกำกับไว้ให้ใส่ไว้ข้างบน
วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)